ข้าวก่ำ (Purple Rice) เป็นข้าวพื้นเมืองของเอเชีย มีหลายชื่อ ชื่อที่ภาคกลางรู้จักกันดีคือ ข้าวเหนียวดำ (Black Sticky Rice) ภาคใต้เรียก เหนียวดำ บางที่ก็เรียกข้าวนิล ในประเทศจีนก็พบเช่นกันเรียกว่า ข้าวดำจีน (Chinese black rice) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oryza sativa ข้าวก่ำนั้นนอกจากจะมีการนำมาบริโภคในรูปของอาหารแล้ว ยังมีการนำมาใช้ในรูปยารักษาโรคอีกด้วย โดยพบว่าในสมัยก่อนหากสตรีใดคลอดลูกและมีการตกเลือดมาก การรักษาก็คือการนำเอาต้นข้าวก่ำมาต้มเคี่ยวน้ำให้งวดลงเล็กน้อยแล้วให้รับ ประทาน | ||||
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่าในประเทศจีนสมัยราชวงศ์หมิงได้มีการใช้ข้าว ก่ำใช้บำรุงหยินของไต บำรุงม้ามและตับซึ่งในการแพทย์แผนจีนเชื่อว่าจะมีผลต่อระบบเลือดและการควบ คุมอารมณ์ของร่างกาย นอกจากนั้นยังพบว่าข้าวก่ำหรือข้าวดำจีนจะมีผลบำรุงเลือดและบำรุงสายตา และใช้เป็นอาหารต้านโรคเรื้อรัง บำรุงร่างกาย ต้านความชรา |
||||
ข้าวก่ำที่พบในประเทศไทยนั้นข้าวสีม่วงกลุ่มอินดิก้า (indica type) มีสีแดงอมม่วงเนื่องจากมีสารในกลุ่มแอนโทไซยานิน (Anthocyanin)ได้แก่สาร cyanindin 3-glucoside ซึ่งมีรายงานว่าสามารถระงับยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งปอด (lung cancer) และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเนื่องจากมีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ได้แก่ tocotrienols, ferulic acid, gamma oryzanol, และ phytosterols ซึ่งนอกจากจะมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระแล้วยังมีผลเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ ระบบภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสลดไขมัน นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งของธาตุเหล็กที่สำคัญสามารถนำไปใช้ทดแทนการให้ธาตุ เหล็กเพื่อลดปัญหาที่มักพบในเรื่องการให้ธาตุเหล็กแก้ผู้ป่วยที่ขาดเหล็ก ทั้งนี้เนื่องจากการให้ธาตุเหล็กทดแทนในลักษณะนั้นมักใช้ขนาดที่สูงและส่งผล กระทบให้มีการเพิ่มการสร้างอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มขึ้นและเกิดอันตรายต่อ เซลล์ต่างๆของร่างกาย ซึ่งการบริโภคข้าวก่ำจึงสามารถจะลดปัญหาดังกล่าวได้เนื่องจากในข้าวก่ำเองก็ มีสารอื่นๆที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอยู่เป็นจำนวนมากดังที่กล่าวข้างต้น อ้างอิง ผู้จัดการออนไลน์ |